ศาสตร์แห่งการต่อต้านวัยหรือ Anti-aging คือ เวชศาสตร์การจัดการอายุ
ศาสตร์แห่งการต่อต้านวัยหรือ Anti-aging คือ เวชศาสตร์การจัดการอายุ ซึ่งจัดเป็นการวิจัยและการปฏิบัติทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นการทำความเข้าใจกระบวนการทางชีววิทยาของการผู้ที่เริ่มมีอายุมากขึ้น และนำมาพัฒนาวิธีการเพื่อยืดชะลอวัย เป็นการดูแลสุขภาพจากภายใน ที่ชะลอความเสื่อมให้เกิดขึ้นช้าที่สุด โดยนำเสนอวิธีการรักษาสุขภาพจากภายใน เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงนานที่สุด และป้องกันไม่ให้เกิดอาการเจ็บป่วยอีกด้วย โดยมีเป้าหมายในการรักษาสุขภาพที่ดี และมีคุณภาพชีวิตตามวัย
วัตถุประสงค์หลักของการดูแลตัวเองแบบ Anti-aging คือ การชะลอวัยและส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และรักษาสุขภาพให้ยังคงมีความแข็งแรงสมบูรณ์แม้จะมีอายุมากขึ้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมความมีชีวิตชีวา ทั้งร่างกาย สุขภาพจิต และสุขภาพโดยรวม นอกจากนี้ศาสตร์การชะลอวัย ยังเน้นมาตรการ “ป้องกัน” เพื่อลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยด้วย เช่น โรคหัวใจ, เบาหวาน, มะเร็ง และความผิดปกติของระบบประสาท โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่เนิ่น ๆ
การดูแลตัวเองด้วยการใช้บริการ Anti-aging clinic ที่มีคุณภาพ ก่อนที่คุณหมอจะเริ่มต้นวางแผนในการดูแลคนไข้แต่ละคน ในรูปแบบที่มีความเหมาะสม จะต้องมีการตรวจสุขภาพเสียก่อน โดยเน้นไปที่การตรวจปัจจัยพื้นฐานแต่มีความสำคัญกับการทำงานและสุขภาพที่แข็งแรงของร่างกายโดยรวมมาก ๆ โดยจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบของการตรวจดังนี้
การตรวจความสมดุลของฮอร์โมน หรือ Hormones Balance เป็นการเช็กระดับของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย เพื่อพิจารณาว่าฮอร์โมนเหล่านั้นอยู่ในช่วงที่ดีต่อสุขภาพหรือมีความไม่สมดุลหรือไม่ โดยฮอร์โมนทำหน้าที่เป็นตัวส่งสารเคมีที่ควบคุมกระบวนการทางสรีรวิทยาต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น อารมณ์ การเจริญเติบโต และการสืบพันธุ์ และความไม่สมดุลอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้
มีหลายวิธีในการประเมินระดับฮอร์โมน เช่น
ระยะเวลาการทดสอบความสมดุลของฮอร์โมนอาจแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการทดสอบที่ใช้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะทราบผลการตรวจเลือดได้ภายในไม่กี่วันไปถึง 1 สัปดาห์
ในกรณีที่ค่าผลลัพธ์ออกมาปกติ จะบ่งบอกถึงฮอร์โมนที่สมดุล แต่ในกรณีที่ฮอร์โมนมีความแปรปรวนไม่ปกติ ไม่มีความสมดุลของฮอร์โมน อาจรวมถึงการขาดฮอร์โมนหรือ มีฮอร์โมนมากเกินไปก็ได้
การตรวจคัดกรองมะเร็งเชิงป้องกัน จัดเป็นสิ่งสำคัญของการดูแลสุขภาพที่มีมุ่งหมายคือ การตรวจหามะเร็งในระยะแรกสุดและมีโอกาสรักษาให้หาย หรือเช็กความเสี่ยงที่มีโอกาสในการเป็นมะเร็ง โดยเป็นการตรวจในผู้ที่ยังไม่มีอาการใด ๆ เพื่อตรวจหามะเร็งหรือความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว การตรวจคัดกรองมะเร็งจะดำเนินการในผู้ที่ไม่มีอาการใด ๆ ปรากฏ แต่การมีอาการบางอย่าง ก็อาจทำให้จำเป็นต้องเร่งประเมินและตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ได้แก่
วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่
ระยะเวลาของการตรวจคัดกรองมะเร็งจะแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการตรวจ ยกตัวอย่างเช่น การตรวจแมมโมแกรมและแปปสเมียร์เป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างรวดเร็ว ตามปกติจะใช้เวลาประมาณ 15 - 30 นาทีเท่านั้น ส่วนการส่องกล้องลำไส้ใหญ่อาจใช้เวลานานกว่าปกติ มักใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
ผลการตรวจคัดกรองมะเร็งสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท
หากพบความผิดปกติในการตรวจคัดกรองมะเร็ง อาจต้องมีการสั่งตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจ หรือการตรวจเลือดเพิ่มเติม เพื่อยืนยันการเกิดมะเร็ง หากได้รับการยืนยัน ก็จะมีการวางแผนทางเลือกการรักษาต่อไป เช่น การผ่าตัด การทำเคมีบำบัด การฉายรังสี และการบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน
การตรวจสารโลหะหนัก Heavy Metal คือ การเช็กระดับโลหะที่เป็นพิษในร่างกาย โดยโลหะหนักเป็นองค์ประกอบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้เมื่อสะสมในร่างกายในปริมาณที่มากเกินไป โลหะหนักที่พบบ่อยในร่างกายได้แก่ ตะกั่ว ปรอท สารหนู แคดเมียม และอื่น ๆ การสัมผัสกับโลหะหนักสามารถเกิดขึ้นได้หลายวิธี เช่นการปนเปื้อนมากับสิ่งแวดล้อม ผู้ที่ประกอบอาชีพบางประเภท และการบริโภคอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อน ความเป็นพิษของโลหะหนักสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้หลายอย่าง และจำเป็นต้องได้รับการประเมินและรักษาทันที
1. การตรวจโลหะหนักจากปัสสาวะ
เป็นการตรวจโลหะหนักโดยเก็บตัวอย่างจากปัสสาวะ โดยโลหะหนัก มีส่วนประกอบโลหะที่มีน้ำหนักอะตอมสูง โลหะหนักที่เป็นพิษทั่วไปบางชนิด ได้แก่ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม สารหนู และโครเมียม โลหะเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านแหล่งต่าง ๆ เช่น น้ำ อาหาร อากาศ หรือการสัมผัสจากการทำงาน
วิธีการตรวจ
ตรวจโลหะหนักในเลือดด้วยการทดสอบปัสสาวะ จะประเมินระดับของโลหะหนักที่ถูกขับออกจากร่างกาย วิธีนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องสงสัยว่ามีการสัมผัสสารหนูมาอย่างต่อเนื่อง
ระยะเวลาในการตรวจ
ระยะเวลาของการทดสอบโลหะหนักจะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับโลหะหนักเฉพาะที่ทำการวิเคราะห์ โดยที่การตรวจปัสสาวะอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน
2. ตรวจจากเม็ดเลือด
โลหะหนักเป็นโลหะที่มีน้ำหนักอะตอมสูง และหลายชนิดเป็นพิษต่อมนุษย์ โลหะหนักที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ได้แก่ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม สารหนู และโครเมียม โลหะเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านแหล่งต่าง ๆ เช่น อาหาร น้ำ อากาศ การปนเปื้อนจากการทำงาน
วิธีการตรวจ
การตรวจโลหะหนักในเลือด เป็นการวัดความเข้มข้นของโลหะหนักในเซลล์เม็ดเลือดทั้งหมด ประเภทโลหะหนักที่ใช้ในการทดสอบทั่วไป ได้แก่ ตะกั่วและปรอท ซึ่งเรียกว่าการทดสอบปริมาตรเซลล์บรรจุ (PCV) การทดสอบ PCV จะประเมินความเข้มข้นของโลหะหนักในเซลล์เม็ดเลือดแดงที่อัดแน่น เป็นการตรวจที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับใช้ในการประเมินการสัมผัสสารตะกั่วในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของผู้เข้ารับการตรวจ
ระยะเวลาในการตรวจ
มีการเก็บตัวอย่างจากการเจาะเลือด ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเก็บตัวอย่าง แต่กระบวนการทั้งหมด รวมถึงการเตรียมตัวอย่างและการวิเคราะห์ อาจใช้เวลา 2 – 3 ชั่วโมงไปจนถึง 2 – 3 วัน ขึ้นอยู่กับวิธีการที่ใช้ และประเภทโลหะหนักที่ทดสอบ
ผลลัพธ์ของการตรวจ
แนวทางการดูแลรักษา
วิธีการดูแลตัวเองแบบ Anti-aging จะต้องเริ่มต้นด้วยการตรวจสุขภาพร่างกายขั้นพื้นฐาน เพื่อเป็นการประเมินสุขภาพรายบุคคล เป็นการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพ ตรวจสอบอาการ และปัจจัยเสี่ยงที่มีอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการวางแผนการรักษาการชะลอวัยอย่างมีประสิทธิผล