Anjali clinic Logo
wellness-product

Drip stem cell นวัตกรรมใช้สเต็มเซลล์ชะลอวัยที่กำลังมาแรง

การใช้สเต็มเซลล์เพื่อการชะลอวัย เป็นเทคโนโลยีที่นำเซลล์ต้นกำเนิด ที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูที่น่าทึ่ง มีศักยภาพในการปฏิวัติชะลอความเสื่อมของเซลล์ และนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับวัย เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชะลอสัญญาณ

by: anjali-adminอัพเดทเมื่อ: 2023-10-10

การใช้สเต็มเซลล์เพื่อการชะลอวัย เป็นเทคโนโลยีที่นำเซลล์ต้นกำเนิด ที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูที่น่าทึ่ง มีศักยภาพในการปฏิวัติชะลอความเสื่อมของเซลล์ และนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับวัย เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัยที่มองเห็นได้เท่านั้น แต่ยังช่วยฟื้นฟูร่างกายจากภายในอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกโลกของเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ การบำบัดด้วยเทคนิค Drip stem cell เพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดีขึ้น

Drip Stem Cell นวัตกรรมใช้สเต็มเซลล์ชะลอวัย

Drip stem cell การฉีดสเต็มเซลล์เข้าร่างกาย

การฉีดสเต็ม เซลล์ เข้าสู่ร่างกาย เป็นขั้นตอนทางการแพทย์ที่นำเซลล์พิเศษที่เรียกว่าสเต็มเซลล์ ส่งเข้าสู่ร่างกายด้วยการฉีด โดยเซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้ มีประสิทธิภาพการทำงานที่โดดเด่น เนื่องจากมีความสามารถเฉพาะตัวในการแปลงร่างเป็นเซลล์ประเภทต่าง ๆ ในร่างกาย และเข้าไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย

ประเภท Stem cell ที่มีทั้งหมด

เซลล์ต้นกำเนิดหรือ Stem cell สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามแหล่งที่มา และศักยภาพในการแบ่งแยกตัวออกเป็นเซลล์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งเราได้นำสเต็มเซลล์ 4 ประเภทหลักมาแนะนำกัน


Drip stem cell นวัตกรรมใช้สเต็มเซลล์ชะลอวัย

1. เซลล์ต้นกำเนิดจากร่างกาย ที่มาจากตัวเราเอง (เซลล์ต้นกำเนิดจากร่างกาย หรือเนื้อเยื่อ)

การเก็บสเต็มเซลล์ คือ การเก็บในเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ ไขกระดูก เนื้อเยื่อไขมัน (ไขมัน) และเลือด มีศักยภาพที่หลากหลาย โดยสามารถแบ่งแยกออกไปเป็น เซลล์กับเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เซลล์เหล่านี้ไปอาศัยอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ก็สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้เช่นกัน

เซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จากตัวเราเอง หรือที่เรียกว่าเซลล์ต้นกำเนิดจากตนเอง เป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่ได้มาจากร่างกายของแต่ละคน เซลล์เหล่านี้มีข้อดีหลายประการ โดยเฉพาะการเข้ากันได้กับตัวเราเอง ร่างกายจะไม่ปฏิเสธ โดยเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกจากตัวเอง มักถูกนำมาใช้ในกระบวนการทางการแพทย์ ใช้เข็มเพื่อดึงไขกระดูกออกจากสะโพกของผู้เข้ารับบริการ เซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้สามารถนำไปแปรรูป และนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาที่หลากหลาย เช่น การรักษามะเร็งบางชนิด แก้ไขความผิดปกติของกระดูก และการสร้างเนื้อเยื่อที่เสียหายขึ้นมาใหม่

2. เซลล์ต้นกำเนิดจากร่างกาย ที่มาจากผู้อื่น

เซลล์ต้นกำเนิดที่นำมาจากผู้อื่นเรียกว่าเซลล์ต้นกำเนิดอัลโลจีนิก เซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้ได้มาจากผู้บริจาคซึ่งเป็นบุคคลอื่น โดยทั่วไปจะมีการจับคู่ทางพันธุกรรมกับผู้ที่จะรับ โดยจะต้องมีความคล้ายคลึงกันทางพันธุกรรมมากพอ ที่จะลดความเสี่ยงของการปฏิเสธภูมิคุ้มกัน การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์แบบ Allogeneic มักใช้ในการรักษาภาวะต่าง ๆ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และความผิดปกติของไขกระดูกบางอย่าง

3. สเต็มเซลล์ที่ได้มาจากสัตว์

สามารถหาได้จากแหล่งต่าง ๆ เช่น เนื้อเยื่อเฉพาะหรืออวัยวะของสัตว์ เซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้มีศักยภาพในการนำไปใช้ในการวิจัย สัตวแพทยศาสตร์ แม้ว่าสเต็มเซลล์จากสัตว์ จะไม่ได้นำมาใช้ในการรักษาของมนุษย์โดยตรง แต่ก็สามารถนำไปใช้ในการวิจัยสเต็มเซลล์ของมนุษย์ได้ ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาวิธีการรักษาโรคในมนุษย์ที่มีศักยภาพมากขึ้น

4. สเต็มเซลล์จากไขกระดูก

เซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก เป็นเนื้อเยื่อที่มีลักษณะเป็นรูพรุนซึ่งอยู่ภายในโพรงของกระดูก เซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการฟื้นฟูและความสามารถในการแบ่งแยกออกเป็นเซลล์ประเภทต่าง ๆ รวมถึงเซลล์เม็ดเลือด เซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกมีประโยชน์ในด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู สามารถใช้เพื่อส่งเสริมการซ่อมแซมและการสร้างเนื้อเยื่อได้

ในกรณีได้รับการบาดเจ็บทางกระดูก เช่น เกิดความเสียหายต่อกระดูกและกระดูกอ่อน โรคภูมิต้านตนเอง เช่น โรคโครห์น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และความเสียหายของเนื้อเยื่อ เช่น การสมานแผล การบาดเจ็บที่ไขสันหลัง

การใช้สเต็มเซลล์เพื่อการชะลอวัย

การฉีดสเต็มเซลล์ คือ การใช้สเต็มเซลล์เพื่อการชะลอวัย เป็นการใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่มีความสามารถพิเศษในการสร้างเซลล์ใหม่ และทดแทนเซลล์ที่เสียหาย หรือเซลล์ที่เสื่อมในร่างกาย โดยมีข้อดีดังนี้

  • ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่: เซลล์ต้นกำเนิดทำหน้าที่ซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อที่เริ่มมีอายุมากขึ้น เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกอ่อน
  • ลดการอักเสบ: มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ สามารถต่อต้านการอักเสบเรื้อรังซึ่งเกิดขึ้นจากความชรา และโรคที่เกี่ยวข้องกับวัย
  • การสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน: สเต็มเซลล์ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายป้องกันการติดเชื้อและโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

Wellness image

การประเมินความพร้อมของร่างกายก่อนให้ stem cell

ก่อนที่จะเริ่มการบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ เพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ ก็ตาม ผู้เข้ารับบริการทุกคนจะต้องประเมินความพร้อมของร่างกายเสียก่อน ด้วยเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อประเมินสุขภาพพื้นฐานของคุณ และทำการปรึกษาเพื่อพูดคุยกับคุณหมอ เพื่อถามคำถามที่สงสัย และคุณหมอก็จะแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวกับสเต็มเซลล์ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย

การฉีด stem cell เฉพาะจุด / IV

การฉีดสเต็มเซลล์เข้าสู่พื้นที่ หรือบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย การใช้สเต็มเซลล์เพื่อการชะลอวัย ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับบริการ หรือปัจจัยในด้านอื่น ๆ

  • การฉีดลงในพื้นที่เฉพาะจุด: เพื่อแก้ไขข้อกังวลเฉพาะที่ (เช่น การฟื้นฟูผิว) สามารถฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปในพื้นที่เป้าหมายที่ต้องการโดยตรง โดยใช้เข็มที่ละเอียด มักฉีดเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความงาม
  • การให้ยาทางหลอดเลือดดำ (IV): การ iv Drip stem cells หรือการให้สเต็มเซลล์ทางหลอดเลือดดำ โดยเซลล์เหล่านี้จะไหลเวียนผ่านกระแสเลือด
  • เส้นทางอื่นๆ : ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวทางการรักษา การฉีดสเต็มเซลล์สามารถส่งผ่านเส้นทางอื่น ๆ ได้ เช่น การฉีดเข้าข้อ ฉีดเข้าช่องไขสันหลัง หรือการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

Wellness image

การนำ Stem cell มาใช้ในทางการแพทย์

การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ทางการแพทย์ เป็นการใช้สเต็มเซลล์เพื่อรักษาอาการทางการแพทย์ต่าง ๆ และส่งเสริมการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ โดยที่เซลล์ต้นกำเนิดนี้มีความสามารถที่โดดเด่น ในการพัฒนาเป็นเซลล์ประเภทต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้มีคุณค่าสำหรับวงการเวชศาสตร์ฟื้นฟู เนื่องจากสามารถเข้ามาทดแทนเซลล์และเนื้อเยื่อที่เสียหาย หรือทำงานผิดปกติได้


ประโยชน์ที่ได้รับจาก Stem cell ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

  • การซ่อมแซมและการสร้างเนื้อเยื่อใหม่: สเต็มเซลล์สามารถช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อที่เสียหาย หรือเสื่อมถอยขึ้นมาใหม่ เช่น กล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน และเส้นประสาท
  • ความผิดปกติของเลือด: การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (HSCT) ใช้เพื่อรักษาความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ
  • การบาดเจ็บทางออร์โธปิดิกส์: เซลล์ต้นกำเนิดจากเยื่อหุ้มเซลล์ (MSCs) มีประโยชน์ในการรักษาอาการบาดเจ็บเกี่ยวกับกระดูก เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม และการบาดเจ็บของเส้นเอ็น
  • โรคภูมิต้านตนเอง: เซลล์ต้นกำเนิดอาจปรับระบบภูมิคุ้มกัน และใช้ในการรักษาความผิดปกติของภูมิต้านตนเองได้ เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

Drip stem cell เหมาะกับใคร

การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะทางการแพทย์ หรือผู้ที่ต้องการได้รับประโยชน์จากการซ่อมแซม หรือการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ช่วยยกระดับสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยให้ดีขึ้น ช่วยในเรื่องของเวชศาสตร์การฟื้นฟู และเสริมความงาม

Drip stem cell เหมาะกับใคร

ขั้นตอนก่อนทำการ Drip stem cell

  • เข้ารับการปรึกษาและวางแผนแนวทางการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ จากคุณหมอ
  • เข้ารับการประเมินทางการแพทย์ ตรวจสุขภาพร่างกายในเบื้องต้น
  • การประเมินความเข้ากันได้ของผู้บริจาค สำหรับการปลูกถ่ายอัลโลจีนิก (ถ้ามี)

รีวิวผลลัพธ์หลังทำ

ผลลัพธ์หลังจากการบำบัดด้วยสเต็มเซลล์อาจแตกต่างกันอย่างมาก เพราะขึ้นอยู่กับแนวทางการรักษาสภาพของผู้ป่วย และปัจจัยอื่น ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะพบว่า มีการแก้ไขปัญหาอาการที่ดีขึ้น ช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยจะต้องมีการติดตามผลประเมินทางการแพทย์เป็นประจำ เพื่อเช็กประสิทธิผลของการรักษา และติดตามผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

ข้อควรระวัง

  • การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ควรดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ในสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองเท่านั้น
  • ผู้เข้ารับบริการจะต้องตระหนักถึงความเสี่ยง ประโยชน์ และความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น จากการรักษาด้วยสเต็มเซลล์
  • และควรคำนึงถึงข้อพิจารณาด้านจริยธรรมและดำเนินการตามกฎระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้สเต็มเซลล์ที่ได้มาจากบุคคลอื่น (การปลูกถ่ายอัลโลจีนิก)

ผู้ที่ไม่แนะนำ ให้ทำการฉีดสเต็มเซลล์

การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์อาจไม่เหมาะกับคนบางกลุ่ม เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงและข้อกังวลด้านความปลอดภัย

  • สตรีมีครรภ์: ควรหลีกเลี่ยงการบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ที่กำลังพัฒนา
  • มารดาที่ให้นมบุตร: เช่นเดียวกับสตรีมีครรภ์ มารดาที่ให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการบำบัดด้วยสเต็มเซลล์เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อทารกที่ดื่มนมแม่
  • ผู้ที่ป่วยมีภาวะหัวใจหรือปอดขั้นรุนแรง: อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในระหว่างการรักษาด้วยสเต็มเซลล์
  • ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อระยะลุกลาม: การติดเชื้อระยะลุกลามอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนระหว่างการรักษาด้วยสเต็มเซลล์
  • มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด: ผู้ที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดอาจมีความเสี่ยงสูง ที่จะมีภาวะแทรกซ้อนเลือดออกในระหว่างขั้นตอนการบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ ควรมีการประเมินและข้อควรระวังอย่างละเอียดเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: เช่น ผู้ที่มีโรคภูมิต้านตนเองบางชนิด ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด

ต้องเข้ารับการบำบัดด้วยสเต็มเซลล์กี่ครั้ง ถึงจะเห็นผล

ความถี่ของการเข้ารับการบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ ของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะประเภทของสเต็มเซลล์ การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ประเภทต่าง ๆ ล้วนมีขั้นตอนและวิธีที่แตกต่างกัน

ยกตัวอย่างเช่น ถ้านำไปใช้ในการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคภูมิต้านตนเอง ที่จะต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อการทราบจำนวนครั้งที่ต้องการฉีดสเต็มเซลล์อย่างชัดเจน และแน่นอน ผู้ที่สนใจเข้ารับบริการขอแนะนำให้ปรึกษากับคุณหมอเพื่อเช็ก จำนวนครั้งในการฉีดจากคุณหมอโดยตรง